ตามที่องค์การอนามัยโลกระบุเอาไว้ว่า ร่างกายของคนเรามีความต้องการน้ำตาลต่อวันประมาณ 6 ช้อนชา (ประมาณ 23-25 กรัม) หรือ สูงสุดไม่เกิน 10 ช้อนชา แต่ในปัจจุบันคนไทยทานน้ำตาลเกินปริมาณไปมาก โดย จากสถิติระบุว่าเฉลี่ยแล้วคนไทยจะทานน้ำตาล 30 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือ 20 ช้อนชาต่อวัน เทียบเป็น 2-3 เท่า ของความต้องการน้ำตาลต่อวัน
ส่วนใหญ่แล้วเราจะได้รับน้ำตาลจากการปรุงรสอาหาร (ก๋วยเตี๋ยว ผัดซีอิ๊ว) เครื่องดื่ม (กาแฟ โอวัลติน) และรับจากการทานของหวาน เช่น บัวลอย ขนมไทยต่างๆ ซึ่งเพียง 3 ส่วนนี้ก็ สามารถทำให้คุณได้รับน้ำตาลเทียบเท่าหรือ มากกว่า 6 ช้อนชา/วัน แล้ว
แต่ในชีวิตจริงของผู้คนส่วนใหญ่ยังคงได้รับปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้นจากอาหารอีกหลากหลายชนิด อาทิเช่น น้ำอัดลม (1 ขวดเล็กมีน้ำตาล 6-11 ช้อนชา) น้ำส้มคั้น (ชนิดไม่ผสมน้ำตาลจะมีน้ำตาล 4 ช้อนชา) โอเลี้ยง (มี น้ำตาล 2 ช้อนชา) น้ำหวานพร้อมดื่ม (ขนาด 250 มล. มีน้ำตาล 8 ช้อนชาครึ่ง) นมข้นหวาน 1 ช้อนชา (มีน้ำตาล ถึงครึ่งช้อนชา) ผลไม้กระป๋องในน้ำเชื่อม (1 ถ้วย ปริมาณ 140 กรัม มีน้ำตาลประมาณ 8 ช้อนชา)
ที่น่ากลัวไปมากกว่านั้นคือ เครื่องดื่มบางชนิด ดื่มเพียง 1 ขวด จะได้รับน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาแล้ว เช่น ชา เขียวรสน้ำผึ้ง 500 มล. (มีน้ำตาล 50 ช้อนชา) ชาเขียวผสมนม 400 มล. (มีน้ำตาล 42 ช้อนชา) ชานมหรือชาเย็น 400 มล. (มีน้ำตาล 25 ช้อนชา) ชาดำ 350 มล. (มีน้ำตาล 15.3 ช้อนชา)
และที่ขาดกันไม่ได้ในคนยุคนี้ก็คือ อาหารจำพวกเบเกอรี่หรือเค้ก ที่เป็นที่ชื่นชอบของทุกเพศทุกวัย แต่อาหาร จำพวกนี้จะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบสำคัญ โดยเค้ก 1 ชิ้น (มีน้ำตาลผสมอยู่ประมาณ 6-12 ช้อนชา) คุกกี้ 1 ชิ้น (มีน้ำตาลประมาณ 10 กรัม ทาน 3 ชิ้นน้ำตาลก็เกินแล้ว) ไอศกรีม (1 ก้อน 70-80 กรัม มีน้ำตาลประมาณ 15 กรัม ทาน 2 ก้อนน้ำตาลก็จะเกินแล้ว)
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราลองมาคำนวณกันดูนะคะว่า โดยปกติแล้วคุณได้รับน้ำตาลกี่ช้อนต่อวัน นี่ยังไม่รวมการทาน อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต (ขนมขบเคี้ยว ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้อีก) จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากคนไทย จะเป็นโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 กันมากขึ้น
ด้วยความปรารถนาดีจาก เบญจ ออยล์
ขอบคุณข้อมูลจาก
สุขภาพดี อายุยืน คุณทำได้เอง http://benjaoil.com/